วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การพัฒนาโปรแกรมโดยการใช้ BeanBox

ก่อนอื่นนะครับเรามาทำความรู้จักกับเจ้า beanbox กันก่อน เจ้าโปรแกรมนี้เป็น Visual ที่คอยช่วยให้เราสามารถที่จะสร้าง Bean ได้และในส่วนของ Bean ที่สร้างนั้นจะเป็น Java Bean

Java Bean คือการนำคอมโพเนนต์ต่างๆที่ถูกสร้างเอาไว้แล้วด้วยภาษาจาวาเอง กลับมาใช้หรือประยุกต์เข้ากับโปรแกรมอื่นๆ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ โดยที่สามารถสร้างหรือเพิ่มคอมโพเนนต์เหล่านั้นเข้าไปได้ด้วย (Buider Tool) หรือเขียนโค้ดเองเหมือนกับการเขียนโปรแกรมจาวาปกติ

ต่อไปจะเป็นการติดตั้งตัว BeanBox นะครับ
  • เริ่มจากเข้าไปที่ http://sites.google.com/site/kmitlcomponentthai/home/relataed-links
  • จากนั้นให้ทำการ Download ทั้งหมด 2 ตัวนะครับคือ BDK และ nmake
  • เมื่อทำการ Download เสร็จแล้วให้ทำการแตกไฟล์ BDK ออก
  • สำหรับในกรณีที่เครื่องที่ติดตั้งมี JDK 1.4 ขึ้นไปนะครับให้ทำการแก้ไขไฟล์บางส่วนดังนี้นะครับ
ให้เข้าไปใน beans\demo\sunw\demo\buttons จากนั้นให้ทำการแก้ไขไฟล์ที่มีชื่อว่า ExplicitButtonBeanInfo.java
โดยการแก้ไขให้เลื่อนลงไปประมานบรรทัดที่ 44 นะครับ โดยให้แก้ไขดังนี้นะครับ
จาก code เดิมคือ
EventSetDescriptor push = new EventSetDescriptor(beanClass,
"actionPerformed",
java.awt.event.ActionListener.class,
"actionPerformed");
ให้ทำการแก้ไขใหม่เป็น
EventSetDescriptor push = new EventSetDescriptor(beanClass,
"action",
java.awt.event.ActionListener.class,
"actionPerformed");

  • เมื่อทำการแก้ไขเสร็จแล้วให้เราทำการแตกไฟล์ nmake15.exe ไปไว้ที่ beans\demo เมื่อทำการแตกไฟล์แล้วให้ทำการคลิกที่ nmake15.exe หลังจากนั้นให้ทำการคลิกไฟล์ที่ชื่อว่า nmake.exe อีกที ก็เป็นอันว่าจบการติดตั้ง beanbox
ต่อไปเราจะมาลองทำการสร้างตัวอย่างง่ายๆในการใช้งาน beanbox ดูนะครับ
โดยตัวอย่างที่เราจะลองสร้างนี้คือโปรแกรมที่เราเรียกว่า Couter bean ซึ่งเจ้าตัวโปรแกรมนี้เนี่ยมีหลักการทำงานคือ เมื่อผู้ใช้กดปุ่ม start counter จะทำการเพิ่มค่าทีละ 1 ทุก 1 วินาที และเมื่อผู้ใช้กดปุ่ม Stop การทำงานจะหยุด และถ้าผู้ใช้กดปุ่ม reset ค่า counter จะกลับมาเป็น 0 โดย code ของตัวโปรแกรมมีดังนี้ครับ


package counter;
import java.awt.*;

public class Counter extends Canvas {
private final static int XPAD = 10;
private final static int YPAD = 10;
private int count;
private boolean operate;

public Counter() {
count = 0;
operate = true;
}

public void reset() {
count = 0;
repaint();
}

public void start( ) {
operate = true;
}

public void stop() {
operate = false;
}

public synchronized void increment() {
if(operate) {
++count;
adjustSize();
repaint();
}
}

public void setFont(Font font) {
super.setFont(font);
adjustSize();
}

public Dimension getPreferredSize() {
Graphics g = getGraphics();
FontMetrics fm = g.getFontMetrics();
int w = fm.stringWidth("" + count) + 2 * XPAD;
int h = fm.getHeight() + 2 * YPAD;
return new Dimension(w, h);
}

private void adjustSize() {
Dimension d = getPreferredSize();
setSize(d.width, d.height);
Component parent = getParent();
if(parent != null) {
parent.invalidate();
parent.doLayout();
}
}

public void paint(Graphics g) {
Dimension d = getSize();
FontMetrics fm = g.getFontMetrics();
int x = (d.width - fm.stringWidth("" + count))/2;
int y = (d.height + fm.getMaxAscent() -
fm.getMaxDescent())/2;
g.drawString("" + count, x, y);
g.drawRect(0, 0, d.width - 1, d.height - 1);
}
}


  • จากนั้นให้เราทำการ copy code ใส่ลง notepad แล้วทำการ save file เป็นชื่อ Counter.java
  • ให้เปิด Command Prompt แล้ว Compile โปรแกรมโดยใช้คำสั่ง javac -d. Counter.java
  • จากนั้นให้ทำการสร้าง file Manifest โดย code ของไฟล์คือ ตั้งชื่อ file ว่า manifest.mf นะครับ
Main-Class: counter.Counter
Name: counter/Counter.class
Java-Bean: True

ในการพิมพ์ลงในไฟล์ ต้องเว้นช่องว่างในบรรทัดสุดท้ายไว้ด้วย 1 บรรทัดนะครัย มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้ compile ไม่ผ่าน
เมื่อทำการ save ไฟล์แล้วนำไปไว้ใน Directory เดียวกันกับ file Counter.java นะครับ
  • จากนั้นให้เราเปิด Command Prompt แล้วทำการสร้างไฟล์ jar โดยการพิมพ์คำสังต่อไปนี้ครับ jar -cfm Counter.jar manifest.mf .\counter\*.* จากนั้นเราจะได้ file jar (ที่ต้องมี\counter\*.* เพื่อที่จะไปหา file Counter.class ใน folder counter ครับ)
  • เมื่อได้ file jar แล้วให้เราทำการเปิดโปรแรกม beanbox ขึ้นมาแล้วทำการเปิดไฟล์ jar ขึ้นมาโดนเลือก File > Load jar แล้วเลือกไฟล์ Counter.jar ขึ้นมา


  • จากนั้นทำการเลือก counter จากหน้าต่างทางด้านซ้ายลากเข้ามาวางในส่วนของพื้นที่ว่างในตรงกลาง


  • เลือก ExplicitButton ใช้ในการสร้างปุ่ม โดยจะทำการสร้างทั้งหมด 3 ปุ่มคือ Start Stop และ Reset โดยเราสามารถที่จะทำการเปลี่ยนชื่อของปุ่มได้โดยการพิมพ์ที่ label



  • จากนั้นทำการเพิ่มการทำงานให้ในแต่ละปุ่มโดยการคลิกที่ปุ่มที่ต้องการจะเพิ่มการทำงาน จากนั้นเลือก Edit > Event > button push > actionPerformed



  • จากนั้นให้เลือกใรส่วนของ EventTargetDailog ให้เลือกเป็น start ในปุ่ม start , stop ในปุ่ม stop และ reset ในปุ่ม reset

  • เมื่อได้แล้วให้เราทำการโยงเส้นไปยังวัตถุที่เราจะให้ทำงานด้วย ในที่นี้คือให้เราโยงเส้นแดงๆไปยังส่วนของ counter


  • จากนั้นให้ทำการคลิกในส่วนของ TickTok และทำการสร้างลงบนพื้นที่ตรงกลางจากนั้นทำการเพิ่มการทำงานโดยการคลิกที่ Edit > Event > propertyChange > propertyChange

  • กำหนดในส่วนของ EventTargetDailog ให้เลือกเป็น increment หลังจากนั้นให้เราทำการโยงเส้นสีแดงไปยังส่วนของ counter ครับ

จากนั้นเราก็จะสามารถใช้งานในส่วนของโปรแกรมได้แล้วครับ :")

Package Scope ของ Java


Package scope ของ Java จะช่วยให้เราสามารถที่จะปรับในส่วนของการเข้าถึงในส่วนของ method และฟิลด์ได้ ซึ่งเจ้า scope เนี่ยจะช่วยทำให้เราสามารถที่จะทำ encapsulate กับข้อมูลที่อยู่ภายในคราสได้และเป็นการที่จะซ่อนข้อมูลจากการเข้าถึงภายนอกได้

เริ่มจาก Public scope จะเป็นการเปิดเผยในส่วนของ method หรือ ฟิลด์ให้สามารถมีการใช้งานได้จากภายนอก
  • Private Scope จะเป็นการซ่อนในส่วนของ method หรือ ฟิลด์ทั้งหมดจากการเข้าถึงการใช้งานจากภายนอก
  • Protected Scope สามารถให้มีการเข้าใช้งานแบบมีข้อจำกัดจากภายนอกได้
  • Package Scope เป็นความสัมพันธ์ของคราสใน package ในส่วนของการใช้กลไกที่เรียกว่า reverse domain-naming mechanism

จากนี้เราลองมาดูวิธีการใช้งานกันนะครับ
เริ่มจาก Public scope ในส่วนของการใช้งานเริ่มจากการใช้งานกับ Attribute การใช้งานเราจะประกาศหน้าส่วนของ Attribute เช่น
public int A;
นอกจากนั้น Public ยังสามารถใช้งานในส่วนของmethod ได้ด้วยเช่น
public void calla (int a)
{
}
และยังสามารถใช้งานร่วมกับคราสได้เช่น
public class sample A
{
}
ในการใช้งานของ public นั้นสามารถที่จะให้มีการใช้งาน การเข้าถึงในส่วนของการเรียกใช้งานได้อย่างไม่มีข้อจำกัด สามารถใช้ได้ในทุก package ยกตัวเช่น
public String getName()
{
return name;
}
จากในส่วนของ public คราสด้านบน จะสามารถมีการเรียกใช้งานได้ในทุก package และจะมีการ return name กลับไปได้

ต่อมาในส่วนของ private นั่นสามารถใช้งานได้เหมือนกับในส่วนของ public คือสามารถใช้ในส่วนของ class method และ Attribute เช่น
private class A {
}
private void calla(int a)
{
}
private int a;
ในส่วนของ private นั้นจะเป็นการสร้างที่ป้องกันการเรียกใช้งานจาก package อื่นๆจะสามารถมีการใช้งานได้เพียงแต่ package นั้นๆ แม้แต่ subclass ก็ไม่สามารถใช้งานได้ ยกตัวอย่างของการใช้งาน private เช่น
private void setPassword(String password)
{
this.password = password;
} 
จากmethod ด้านบน การเรียการใช้งานในส่วนของ setPassword จะไม่สามารถถูกเรียกการใช้งานจากภายนอกได้ แต่ถ้าหากจะมีการเรียกใช้งาน ก็ต้องมีการเรียกใช้งานจากใน package เดียวกันกับ private

ต่อมาในส่วนของอันสุดท้ายของ protected ในส่วนของ protected นั้นจะมีความคล้ายคลึงกับ private ที่มีการป้องกันการเข้าใช้งานจากภายนอกเหมือนกันแต่เพียงว่า protected นั้นจะมีการอนุญาตให้ subclass เข้ามาใช้งานได้ในส่วนของ protected นั้นก็เหมือนกัน public และ private คือสามารถใช้ได้ทั้ง class method และ  attribute ได้เช่น
protected class A{
}
protected void call A (int a){
}
protected int A;
ในส่วนของการใช้งานนั้น หากจะมีการใช้งานในส่วนของ protected จะต้องทำการ inheritance จาก class หลัก จากนั้น subclass จะสามารถใช้งานในส่วนของตัวแปรหรือ method ของ class นั้นๆได้ยกตัวอย่างเช่น
class  a
{  protected int a;
}
class b extend a
{
a = 1;
}
จากด้านบน b สามารถใช้งานในส่วนของ attribute จากคราส a ได้แม้จะเป็นการป้อนกันก็ตาม แต่หากสมมุติมีคราสอื่นที่ต้องการมาใช้งานในส่วนของ a จะไม่สามารถที่จะเข้ามาใช้งานได้

และนี้เป็นเนื้อหาในส่วนของ
package scope หวังว่าจะมีประโยชน์ในการใช้งานไม่มากก็น้อยนะครับ ;”)

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีการใช้ Design Pattern บน Eclipse

ในการใช้ Design Pattern บน Eclipse นั้นทางโปรแกรมจะมีไม่ได้มีการเตรียมส่วนของ Design Pattern ในรูปแบบของ Code ไว้ในตัวโปรแกรมแต่จะมีการเตรียมส่วนเพิ่มหรือ Plug-in ไว้ให้หากผู้ใช้ต้องการโดย Plug-in ต่างๆผู้ใช้สามารถหา Download ได้จาก


โดย Plug-in เหล่านี้มีทั้งพัฒนามาจาก ทาง Eclipse.org หรือจากทางผู้ใช้ ต่างๆ
โดยวันนี้จะขออธิบายการใช้ Plug-in ของ http://www.patternbox
.com/ ใน Plug-in นี้จะประกอบไปด้วย Design Pattern 16 รูปแบบของ Gang of Four (GoF) ผู้ใช้สามารถ Download ได้จากหน้านี้ครับ http://www.patternbox.com/eclipse.html

หลังจากที่ Download มาแล้วให้ Unzip ไฟล์ แล้วนำ ไฟล์ที่ได้ไปไว้ใน Directory plugins ใน Eclipse ดังรูปครับ

จากนั้นทำการเปิด Eclipse ขึ้นมากด New > Java > Design Pattern ถ้าทำการติดตั้ง Plug-in ถูกต้องจะเป็นดังรูป

จากนั้นกด Next ใน Plug-in นี้จะมี Pattern แยกเป็น 3 หมวด คือ 1. Creational Pattern 2.Structural Pattern 3. Behavioral Pattern โดยในวันนี้จะขอยกตัวอย่างเป็นการใช้ Structural Pattern และเลือกใช้ Facade (ฟาสาด) ครับ หลังจากเลือกแล้วกด Finish



โปรแกรมจะแสดงผลดังภาพด้านล่าง



เมื่อโปรแกรมแสดงผลดังนี้แล้วให้ Click ไปที่ Subsystem และกด Add จะได้ดังรูปโดยโปรแกรมจะให้กรอกรายละเอียดส่วนต่างๆดังนี้
- Source Folder คือ Directory ที่ใช้เก็บ source code ของเรา
- Package เป็นการตั้งชื่อของ Package จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้
- Name ชื่อไฟล์

หลังจากใส่รายละเอียดครบแล้วกด Finish จะได้ดังรูปครับ



จากนั้นให้กลับมาหน้าที่เรา Add Subsystem ไปครับ ให้ Click ไปที่ Facade แล้วกด Add เช่นเดิมครับ



เท่านี้เราก็สามารถนำ Facade Design Pattern มาใช้ช่วยให้การสร้างโปรแกรมของเราตามความเหมาะสมได้แล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การใช้ Design Pattern บน Net Beans

          ในโปรแกรม NetBeans นั้นได้มีส่วนที่สนับสนุนสำหรับการใช้งานในส่วนของ Design Pattern ไว้เพื่อช่วยให้ Developer สามารถนำ Design Pattern ที่มีอยู่นำมาใช้ร่วมกับ Program ได้ครับ ในส่วนของวิธีการใช้งานจะเป็นดังนี้ครับ

1. เริ่มจากการคลิกขวาคราสหลักของไฟล์และเลือกในส่วนของหัวข้อ Reverse Engineering


2.หลังจากนั้นจะปรากฏหน้าต่างขึ้นมาให้ตอบตกลงจากนั้นจะปรากฏส่วนของโมเดลขึ้นมาดังรูปครับ


3. หลังจากนั้นให้คลิกขวา และเลือกหัวข้อ Apply Design Pattern เพื่อนำ code ที่มีอยู่ไปใช้กับ Design Pattern ครับ

4. จากนั้นให้เลือกในส่วนของ Project ให้เป็น GOF Design Pattern และเลือกในส่วนของ Design Pattern ว่าต้องการใช้รูปแบบไหน


5. ในแต่ละ Design Pattern จะมีการเลือกในส่วนลำดับความสำคัญของคราส (เช่น การเลือก super class) และเมื่อทำการเลือกเสร็จแล้วกด Finish ก็จะปรากฏในส่วนของ Design Pattern ที่เสร็จสมบูรณ์ในรูปแบบของ class diagram

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การสร้าง Object แบบใช้ Factory Method ในClass ของ Java

Factory Method Patterns ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของDesign Patterns ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการใช้ใน subclass ซึ่งเป็น class ที่มาจาก superclass โดย Factory Method เป็น Design Patterns ที่มักใช้ในการสร้าง Object สำหรับClass และในการทำงานของ Factory Method Patterns ส่วนใหญ่มักจะใช้ร่วมกับ Template Method Patterns

โดยหลักการการทำงานของ Factory Method จะมองการทำงานคล้ายกับโรงงานผลิตภัณฑ์ที่ผลิตสินค้าได้ชนิดเดียว เช่น การสร้างวิทยุ ก็จะสร้างแต่วิทยุอย่างเดียวไม่สามารถสร้าง TV หรือ ตู้เย็นได้ เพราะฉะนั้นเราจะมองโรงงานคล้ายกับเป็น superclass ใน Java และ กระบวนการทำงานต่างๆที่ทำให้เกิดวิทยุเป็น subclass


ข้อดีของ Factory Method คือในการทำงานของ Object Class เราไม่จำเป็นต้องรู็ถึงโครงสร้างของ subclass เพียงแต่เรารู้ขั้นตอนการทำงานต่างๆในกระบวนการผลิตสินค้าก็พอ ก็จะทำให้กระบวนการทำงานต่างๆสามารถผ่านไปได้ด้วยดี

ตัวอย่างรูปของ Factory Class Model
ตัวอย่างของ Class ที่มีการสร้าง Object แบบใช้ Factory Method

Class KeyFactory

java.lang.Object
java.security.KeyFactory

จะมีการสร้างรหัสในการเข้าถึงของข้อมูล เพื่อตรวจสอบในเรื่องของการส่งข้อมูล

Class BorderFactory

java.lang.Object
javax.swing.BorderFactory

จะมีการกำหนดกรอบมาตรฐานการทำงานไว้ให้ในClass

ลักษณะของ Class ที่มีการใช้งานแบบ Factory Method

public abstract class Radio
{ public abstract String toType();
}
public class Sony extends Radio
{ public String toType()
{ return "Sony";
}
}

public class Sumsung extends Radio
{ public String toType()
{ return "Sumsung";
}
}


public class RadioFactory
{ public static Radio createRadio(String type)
{ if(type.equals("Sony"))
return new Sony();
else if(type.equals("Sumsung"))
return new Sumsung();
return null;
}
}

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โปรแกรม Eclipse 3.6.2 กับวิธีการใช้งานเบื้องต้น



Eclipse Classic 3.6.2 หรือ เครื่องมือพัฒนาโปรแกรม Java ความสามารถหลักๆของโปรแกรมจะคล้ายๆกับ NetBeans IDE คือ ช่วยให้เราสามารถพิมพ์ code และ compile ผ่านโปรแกรมนี้ได้โดยมี Function ต่างๆเตรียมไว้ให้ผู้ใช้เพื่อความสะดวกในการทำงานอย่างค่อนข้างที่จะเรียกได้ว่าทำงานได้ไม่แพ้ NetBeans เลยทีเดียวครับ


หลังจากที่ได้รู้ความสามารถเบื้องต้นของโปรแกรมนี้แล้วเราก็สามารถหาโหลดที่ได้ที่
http://www.eclipse.org/downloads/ ในหน้าเว็ปนี้เลยครับโดยจะมีให้เลือกโหลดได้หลาลรูปแบบที่เราจะนำไปใช้งานมีทั้ง Eclipse สำหรับ C/C++ , สำหรับ PHP , สำหรับ JavaScript และอีกมากมายครับ แต่ Eclipse ที่จะแนะนำนี้เป็น Version classic 3.6.2 ซึ่งเป็น Java Development tools และ Plug-in Development Environment ครับมือเราได้ทำการ Download มาแล้วไม่ต้องเรา
ทำการ Install ครับจะเป็น file .zip มาให้เราสามารถ Extract แล้วใช้งานได้เลย เมื่อแตกเสร็จแล้ว เข้าที่ไปที่ folder>> eclipse แล้ว double click ที่ Icon>> eclipse.exe ดังภาพ ครับ


เมื่อเรา Double click Icon ครั้งแรกจะปรากฎช่องขึ้นมาสำหรับที่บันทึกงานของเราเลือกตามนั้นแล้ว ติ้กที่ช่อง Use this as default.... (เพื่อให้ใช้เป็นที่ default Directory ที่เก็บงานต่างๆของเรา) จากนั้นกด OK ครับ

เมื่อเข้ามาในขั้นตอนแรกของการทำงานเราต้องทำการสร้าง Project ขึ้นมาใหม่ก่อนเพื่อเป็น Directory ที่เก็บ source code ต่างๆของเราไว้โดยการกด File>>New>>Java Project ดังภาพ

จากนั้นเราก็สามารถสร้างงานต่างๆที่เราต้องการโดยตัวอย่างจะทำการสร้าง Project Test Class Test ขึ้นมาเพื่อลอง Compile และ Run ดู Output จากนั้นทำการตั้งชื่อ Project Test แล้วกด Finish ดังภาพ



ขั้นที่สองทำการสร้าง Class Test เก็บไว้ใน Directory ของ Project Test โดยการกด File>>New>>Class แล้วทำการตั้งชื่อ Test ดังภาพ

เมื่อเราสร้าง Class ขึ้นมาจะได้หน้าจอสำหรับพิมพ์ code ขึ้นมา และเมื่อเราพิมพ์ code เสร็จเรียบร้อยให้ทำการกด ปุ่ม Play ดังภาพที่เป็นวงกลมสีแดง จากนั้นโปรแกรมจะแสดง Output ของโปรแกรมออกมาด้านล่างของโปรแกรมดังภาพนี้ครับ

และอีกเช่นเคยนี่เป็นเพียงการใช้งานเบื้่องต้นสุดๆของโปรแกรม Eclipse classic 3.6.2 เท่านั้นตัวโปรแกรมยังมี Function ต่างๆเตรียมไว้ให้ผู้ใช้ได้สามารถใช้เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงานและ ความที่ต้องของการทำงานได้อีกมากมายอย่างเช่น การเปลี่ยนชื่อตัวแปรในหลายๆ class พร้อมๆกันโดยการ Refactor การสร้าง Override โดยการเลือก Override/Implement Methods และการ Generate ต่างๆอีกมากมาย สรุปได้ว่าเจ้า Eclipse classic 3.6.2 นี้ถ้าใช้ได้ชำนาญมากๆแล้วผู้ใช้ไม่ต้องพิมพ์อะไรมากมายก็สามารถทำโปรแกรมออกมาใช้กันได้แล้วครับ

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การใช้งาน NetBeans IDE 7.0 เบื้องต้น

          ในเวอร์ชั่นนี้ทางตัวโปแกรมถูกพัฒนาให้สามารถใช้งานกับ Java SE7 และ JDK 7 และนอกจากนั้นยังสามารถทำงานร่วมกับ Oracle WebLogic server, Oracle Database, GlassFish 3.1 และยังมีการเพิ่มเติมให้ตัวโปรแกรมสามารถใช้งาน Maven 3 และสนับสนุนการแก้ไขของ HTML 5
        
         ในส่วนของตัวโปรแรกมนั้นสามารถ download ได้จากทาง http://netbeans.org/downloads และเมื่อทำการ install เสร็จแล้ว จะได้หน้าตาของ icon เป็นรูปแบบนี้
           หลังจากนั้นเปิดตัวโปแกรม NetBeans จะพบกับหน้าตาของ GUI โปรแกรม

           
          ในการใช้งานเพื่อสร้าง project ใหม่ให้กด File > New Project หรือคลิกที่ icon
นอกจากนั้นยังสามารถใช้งานคีย์ลัด Ctrl+Shift+N เพื่อเป็นการเริ่ม project ใหม่
          
           หลังจากนั้นจะพบกับในส่วนของการเลือกการทำงานของโปรเจค ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกประเภทในการใช้งานได้จากส่วนนี้ โดนในโปรแกรม NetBeans จะแบ่ง steps ในการสร้าง project ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ
1. Choose project ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ให้ผู้ใช้งาน ได้เลือกประเภทของการใช้งาน โดยจะถูกแบ่งออกเป็น Categories หลักๆคือ Java, Java Web, Java EE, Java Card, Java ME, Maven, PHP, Groovy, C/C++, NetBeans Modules, Samples


2. Name and Location ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ผู้ใช้จะทำการกำหนดส่วนของชื่อ project ตำแหน่งของ project รวมถึงการตั้ง main class และชื่อของ class ด้วย


           เมื่อได้ทำการกำหนดค่าต่างๆเรียบร้อยแล้วก็จะพบก็หน้าตาของตัวโปรแกรมแบบนี้ครับ


           
           จากภาพในส่วนที่ 1. จะเป็นส่วนสำหรับการเขียน code และในส่วนที่ 2. จะเป็นส่วนของการแสดงผลในการ run code และทางด้านบนจะมี tools ต่างๆ ส่วนทางด้านซ้ายมือจะเป็นส่วนของการแสดงและจัดการ project 
           
           คราวนี้เราจะมาลองสร้าง code ง่ายๆและลอง run ตัวโปรแกรมดูนะครับ
public class JavaApplication1 {    public static void main(String[] args) {        System.out.println("Hello");    }}
เมื่อต้องการที่จะทำการ run code ให้แสดง output ออกมาให้กดปุ่ม F5 หรือกดใน icon 
จากนั้นตัวโปรแกรมจะแสดง Output ออกมาทางด้านส่วนล่างของตัวโปรแกรมดังนี้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงวิธีการใช้งาน NetBeans เบื้อต้นเท่านั้นนะครับจริงๆแล้วตัวโปรแกรมยังมีความสามารถอีกมากมาย ขอให้สนุกกับการใช้งาน นะครับ :")